RoHS กับ REACH ต่างกันอย่างไร

RoHS กับ REACH มีความแตกต่างกันอย่างไร?

          ทุกท่าน สวัสดีครับ ผม ยามะซาโต้ จาก HANSHIN NEJI ครับ ที่ผ่านมาเรามักจะได้รับการร้องขอเป็นประจำ จากลูกค้าทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นว่า (ขอเอกสาร RoHS ของน็อตที่สั่งซื้อด้วย) หรือ (ช่วยกรอกข้อมูลของ REACH ลงในไฟล์เอกเซลที่แนบมาแล้วส่งคืนด้วย) เป็นต้น แม้แต่น็อตก็ยังต้องการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสารที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ คอลัมน์สำหรับวันนี้จึงเป็นเรื่องของความรู้เบื้องต้นว่า RoHS, REACH (มันคืออะไรกันแน่?) (แล้วมันต่างกันอย่างไร?) ซึ่งถ้าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้าง ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ

RoHS คือ (การห้ามใช้!) ส่วน REACH คือ (การแจ้งว่าใช้อะไรไปบ้าง ใช้ไปอย่างละเท่าไร)

          RoHS ย่อมาจาก (Restriction of the use of certain Hazardous Substances in electrical and electronic equipment) Restriction ก็คือกฏของการจำกัดปริมาณการใช้ สหภาพยุโรป (EU) ได้กำหนดปริมาณความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้สำหรับ ตะกั่ว ปรอท เฮกซาวาเลนท์โครเมียม แคดเมียม โพลีโปรมิเนต ไบเฟนนิลส์ (PBB) โพลีโปรมิเนต ไดเฟนนิล อีเธอร์ (PBDE) และกรด Phtalic 4 ชนิด รวม 10 รายการ สินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออิเลคทรอนิกส์ใดๆที่ทำจากวัตถุดิบที่มีความเข้มข้นของสารข้างต้นเกินกว่าที่กำหนดจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายในดินแดนของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ RoHS ยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจึงมีแนวโน้มว่าจะมีการเพิ่มรายการของสารที่จำกัดการใช้ในอนาคตอีกด้วย ส่วน REACH นั้นย่อมาจาก (Registration, Evaluation, Authorisations and Restriction of Chemicals) ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดเช่นกัน โดยแปลตรงตัวก็คือ 1.การขึ้นทะเบียน 2.การพิจารณาตัดสิน 3.การอนุญาต และ 4.การจำกัดการใช้ ของสารเคมี  โดยเริ่มจาก (การขึ้นทะเบียน) คือการที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องยื่นเอกสารแสดงข้อมูลด้านเทคนิคต่อหน่วยงานกลางของยุโรปในกรณีที่ผลิตหรือนำเข้าสารเคมีมากกว่าปีละ 1 ตันขึ้นไป ถัดไปหน่วยงานกลางของยุโรปจะทำ (การพิจารณาตัดสิน) รายละเอียดของคำร้องนั้นๆ กรณีที่มีการใช้สารเคมีที่ถูกระบุว่าส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมแล้ว จะต้องขอ (อนุญาต) จากหน่วยงานดังกล่าวด้วย สารเคมีดังกล่าวจะถูกเรียกว่า SVHC (สารเคมีที่มีอันตรายสูง) ซึ่งในปัจจุบันนี้มีอยู่ 219 รายการ และมีกลไกที่ให้ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปสามารถเสนอเพิ่มเติมรายการได้ นอกจากนี้ในกรณีที่หน่วยงานกลางดังกล่าวพิจารณาตัดสินแล้วว่าต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ก็จะ                (จำกัดปริมาณ) การใช้ โดยพื้นฐานแล้ว REACH ต่างจาก RoHS ตรงที่ไม่ใช่เป็นการจำกัดการใช้โดยทันที แต่เป็นกลไกที่ใช้จัดการข้อมูลข่าวสารและจะได้ทราบว่าใช้อะไรไปบ้าง ใช้ไปอย่างละเท่าไร กรณีจำเป็นเท่านั้นที่ต้องขออนุญาต

          มนุษย์และโลกนั้นสำคัญที่สุด！

          ทั้ง RoHS และ REACH ไม่ว่าจะเป็น (สารเคมีนี้ไม่สามารถใช้ได้) หรือ (ถ้าจะใช้ก็ต้องรายงาน) ต่างก็ส่งผลให้เกิดภาระและต้นทุนเพิ่ม ต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริหารจัดการข้อมูล ดังนั้นในช่วงแรกๆของการบังคับใช้ระบบทั้งสองนี้ คงจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และถูกต่อต้านไม่น้อยเลยทีเดียวนะครับ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นได้ ก็จะพบว่าประชาชนในสภาพยุโรปที่ตัดสินใจครั้งใหญ่ในการนำระบบดังกล่าวมาใช้ คงจะพิจารณากันอย่างดีแล้วว่า (ที่จริงแล้ว  สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร) สำหรับพวกเราที่เกี่ยวข้องกับ(น็อต) ซึ่งเป็นสินค้าอุตสาหกรรมนั้น ต่างก็ต้องการให้ทั้งผู้คน ธรรมชาติ และ โลก ยังคงยิ้มอยู่ได้ ไม่ว่าเราจะขายน็อตได้มากขึ้นเท่าใดก็ตาม！